สวัสดี ครับทุกท่าน ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่บทความ "ทางไปเอาเงินล้านอย่างมีความสุข(6)" นะครับ สำหรับท่านที่เข้ามาเป็นครั้งแรก รบกวนให้ท่านกลับไปอ่านตั้งแต่ "ทางไปเอาเงินล้านอย่างมีความสุข 1 - 5" ก่อนนะครับจะได้ต่อเนื่องกัน สำหรับใครที่ทำความเข้าใจแล้ว ก็ขอจูงมืออันสูงเกียรติของท่าน พบและสัมผัสกับบทความนี้กันเลยครับ
กฎแห่งความเจริญรุ่งเรือง
กฎนี้กล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เป็นสิ่งมีชีวิต และมีการพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น” อีกครั้งนะครับ “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เป็นสิ่งมีชีวิต และปรารถนาที่จะพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น” ท่านอาจจะมีข้อโต้แย้งในใจว่า “สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง ฯลฯ , เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าว ฯลฯจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร?” ข้าพเจ้าขอตอบว่า “ทั้งหมดกล่าวมา เป็นสิ่งมีชีวิตครับ” เหตุผลที่ท่านมีข้อขัดแย้งในใจคือ ท่านยึดเอาสิ่งที่ท่านมองเห็น แล้วตัดสินว่า สิ่งไหนมีชีวิต หรือไม่มีชีวิต หรือไม่ท่านก็ยึดเอาตามที่ท่านได้เรียนรู้มาว่า สิ่งมีชีวิต คือ คน สัตว์ และ พืช สิ่งที่ไม่มีชีวิต คือ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แต่ท่านรู้ไหมครับ มีผู้รู้หลายท่านกล่าวว่า “ความจริงคือภาพลวงตา” สิ่งที่ท่านมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง เช่น
- อากาศ/ก๊าชออกซิเจน ท่านมองไม่เห็น แต่มันก็มีอยู่จริง
- ไฟฟ้า ท่านมองไม่เห็น แต่มันก็มีอยู่จริง (ไม่เชื่อท่านลองเอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟที่มีไฟฟ้าดูซิครับ)
เป็นไงครับ ข้อมูลเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ตอบข้อโต้แย้งในใจของท่านรึยัง? สิ่งที่ท่านมองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง “ไม่เว้นแม้แต่ความคิดของท่าน ท่านมองไม่เห็น แต่ท่านรู้ว่ามันมีอยู่จริง” ที่ข้าพเจ้ากล้ายืนยันกับท่านว่า ทุกสิ่งในโลกนี้เป็นสิ่งที่มีชีวิต และปรารถนาที่จะพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น นั่นเป็นเพราะว่า “การเป็นเศรษฐีเงินล้านเกี่ยวข้องโดยตรงกับพลังบางอย่างที่อยู่ในตัวของท่าน อยู่ในจิตใต้สำนึกของท่าน ซึ่งเป็นพลังที่สร้างสรรพสิ่งในโลกนี้ให้เกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา” และสิ่งที่มาการันตีแนวคิดนี้ของข้าพเจ้าก็คือ “ทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์” ที่กล่าวถึง “พลังงานและการสั่นสะเทือนของอนุภาค”
ทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ สรุปว่า “ทุกๆสิ่งในจักรวาลนี้ คือ คลื่นและอนุภาค และทั้งสองสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนพลังงานและปรับเปลี่ยนสถานะไปมาได้เสมอ อีกทั้ง ทุกสิ่งไม่หยุดนิ่งแต่เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดหย่อน” นั่นแสดงว่า “คน สัตว์ พืช สิ่งของต่างๆเป็นทั้งคลื่นและอนุภาค” ซึ่งมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา และการเคลื่อนไหวนี้เองที่ข้าพเจ้าพยายามอธิบายว่า “ทุกๆสิ่งในโลกนี้ เป็นสิ่งมีชีวิต”
อนุภาค = หน่วยที่เล็กที่สุดที่ประกอบกันเข้าจนกลายเป็น วัตถุ(ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น)
คลื่น = การสั่นสะเทือนของอนุภาค
โลกใบนี้ ภูเขา ก้อนหิน คน ต้นไม้ พืช สัตว์ วัตถุสิ่งของเครื่องใช้ ฝุ่นละออง เถ้าธุลี แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อโรคที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทุกๆสิ่งที่กล่าวมานี้ ประกอบกันขึ้นจากหน่วยที่เล็กที่สุด ที่เรียกว่า อนุภาค
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน หากมองที่โต๊ะไม้ตัวหนึ่ง จะเห็นว่าทำด้วยไม้ที่เกิดจากต้นไม้ธรรมชาติ แต่หากใช้กล้องขยายกำลังสูงมองลึกลงไปยังโครงสร้างของมัน จะเห็นว่าเนื้อไม้ที่มองเห็นอยู่นั้น ประกอบขึ้นจากเนื้อเยื่อเล็กๆมากมายนับล้านๆ เรียงโครงสร้างยึดโยงเข้าด้วยกันจนกลายเป็นไม้ เมื่อไม้ถูกเลื่อยออกมาก็จะเป็นแผ่นไม้และขี้เลื่อย เอาขี้เลื่อยมาส่องกล้องดูก็จะเห็นเนื้อเยื่อจุดเล็กๆที่สุดประกอบกันเป็นขี้เลื่อย และถ้าส่องกล้องลงไปในหน่วยที่เล็กๆนั้นก็ยังมีหน่วยที่เล็กลงไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งเดิมเรียกว่า อะตอม ยังมีหน่วยที่เล็กกว่าอะตอมอีก คือ โปรตอน นิวตรอน และ อิเล็กตรอน และยังมีเล็กกว่านั้นคือ ควาร์ก สุดท้ายแล้วยังมีเล็กกว่าอีกไม่มีที่สิ้นสุดจนนักฟิสิกส์ไม่กล้าฟันธงว่าอะไรกันแน่ที่เล็กที่สุด แต่ที่แน่ๆก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของอนุภาคเล็กๆดังกล่าวนี้ทั้งนั้น ซึ่งอนุภาคเล็กๆที่กล่าวมาล้วนมีการสั่นสะเทือนหรือมีการเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการสั่นสะเทือนนี้เองเรียกว่า “พลังงาน” ซึ่งพลังงานทุกชนิดเกิดจากการสั่นสะเทือนของอนุภาค
มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ มีสถานะเป็นทั้ง คลื่น(การสั่นสะเทือนของอนุภาค) และ อนุภาค ซึ่งอนุภาคเล็กๆทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายมนุษย์ก็คือ คลื่นที่เคลื่อนไหวแผ่พลังงานออกไปตลอดเวลานั่นเอง ซึ่งได้ข้อสรุปใหม่ว่า “ทุกๆสิ่งในจักรวาลนี้ เป็นพลังงานและเป็นคลื่น” และที่สำคัญคือ ไม่มีอะไรขวางกั้นพลังงานและคลื่นได้ เนื่องจาก การเดินทางของคลื่นและอนุภาค แม้จะมีวัตถุอะไรบางอย่างมาขวางกั้นไว้ อนุภาคจะเปลี่ยนสถานะเป็นคลื่นพลังงานแล้วไปรวมตัวกันเป็นอนุภาคอีกครั้ง
ก่อนที่ท่านจะงงไปกว่านี้ ข้าพเจ้าขอสรุปให้ท่านเข้าใจง่ายๆ คือ “ความคิด เป็นพลังงานและเป็นคลื่น” จึงไม่แปลกใจเลยที่ “ความคิดของท่าน จะสามารถเดินทางไปที่ไหนๆก็ได้ในโลกนี้ เดินทางด้วยความเร็วสูงที่สุด และไม่มีอะไรขวางกั้นความคิดได้” แล้วที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มันเกี่ยวข้องอะไรกับหัวข้อ “กฎแห่งความเจริญรุ่งเรือง” เกี่ยวข้องแน่นอนครับ เพราะถ้าท่านไม่รู้ที่มาของสรรพสิ่งว่า เกิดจากคลื่นและอนุภาค ท่านก็จะไม่เข้าใจว่า ทุกสิ่งในโลกนี้มีชีวิต คือมีการเคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลา(การสั่นสะเทือนของอนุภาค)และ“ความเจริญรุ่งเรืองของแต่ละสรรพสิ่งขึ้นอยู่กับ พลังความคิดสร้างสรรค์” อีกครั้งนะครับ “ความเจริญรุ่งเรืองของแต่ละสรรพสิ่งขึ้นอยู่กับ พลังความคิดสร้างสรรค์” ซึ่งท่านได้เรียนรู้มาแล้วว่า “ความคิด = พลังงาน + คลื่น” แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากเน้น คือ “ความคิดสร้างสรรค์มีพลังมากกว่าความคิดธรรมดาๆ” และ “มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเลิศกว่าทุกสรรพสิ่ง”
ข้าพเจ้ามีคำๆหนึ่งที่อธิบายกฎแห่งความเจริญรุ่งเรืองได้เป็นอย่างดี คือ “การปรับตัว” ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เช่น สัตว์ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ (กิ้งก่า ผีเสื้อ แมลง ปลา ฯลฯ เปลี่ยนสีเพื่อพรางตัวในการหาอาหาร), พืช ปรับตัวหาแสงเพื่อสังเคราะห์อาหาร รวมไปถึงมนุษย์ทุกคนที่ต้องปรับตัวให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมในการดำรงชีวิต แต่ข้อแตกต่าง คือ “มนุษย์ใช้พลังของความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อตอบสนองมนุษย์ด้วยกันเอง” ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ฯลฯ ล้วนเกิดจากพลังความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต่างจาก พืช หรือ สัตว์ ที่ปรับตัวเพียงเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่โลกที่เราอยู่นี้ ก็ยังมีการปรับตัว เช่น การเคลื่อนตัวของแผ่นดิน ฯลฯ แต่ที่แน่ๆ ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม หรือเรียกอีกอย่างว่า “ความปรารถนาที่จะพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น” จึงสรุปเป็นกฎแห่งความเจริญรุ่งเรือง ท่านอย่าลืมนะครับว่า “การดำเนินชีวิตของท่าน ในช่วงระยะเวลา ๑ – ๕ ปีที่ผ่านมา ทำให้ท่าน มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ดังเช่นตอนนี้ ถ้าท่านยังดำเนินชีวิตแบบเดิมๆนี้ ในอีก ๑ – ๕ ปีต่อจากนี้ ท่านก็ยังจะเป็นเหมือนเดิม...” ดังนั้น จงใช้พลังความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวท่านเองให้กลายเป็น “เศรษฐีเงินล้านอย่างมีความสุข” กันดีกว่ามั๊ย? ท่านเกิดมาเพื่อเป็นไปตามกฎแห่งความเจริญรุ่งเรือง นั่นคือ การปรับเปลี่ยนตัวเองหรือปรับปรุง/พัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น โดย “เปลี่ยนจากจุดเดิมที่ท่านอยู่ไปสู่จุดใหม่ที่ดีกว่าเดิม” จากกฎแห่งความเจริญรุ่งเรืองนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงจากคนที่เป็นหนี้กว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไปเป็นเศรษฐีเงินล้านผู้มีความสุขโดยการปฏิบัติตาม “ทฤษฎีการเป็นเศรษฐีเงินล้าน” ดังภาพ
ภาพที่ ๔ : การเคลื่อนที่จากจุดเดิมไปจุดใหม่ที่ดีกว่า
จากภาพ แสดงให้เห็นความชัดเจนของกฎแห่งความเจริญรุ่งเรือง ที่กล่าวว่า “ทุกสิ่งมีชีวิตจำเป็นจะต้องมีการปรับตัวเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า” ซึ่งถ้าไม่ปรับตัวหรือไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองก็จะทำให้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างยากลำบาก และจากกฎนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนให้ข้าพเจ้าผู้ที่มีหนี้กว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต้องปรับตัว/เปลี่ยนแปลงตัวเอง พาตัวเองจากจุดหนึ่งไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิม นั่นก็คือ การเป็นเศรษฐีเงินล้านอย่างมีความสุข โดยใช้ปรัชญาตามทฤษฎีการเป็นเศรษฐีเงินล้านอย่างมีความสุข คือ ง่ายดาย ผ่อนคลาย ดีต่อสุขภาพ เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์และคุณค่าสูงสุดร่วมกัน(Win Win) และมุ่งสร้างทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้โดยไม่ต้องทำงาน
สำหรับตอนที่ 6 นี้ก็เอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ ในตอนตอนต่อไปเราจะไปพูดถึง กฎแห่งความอุดมสมบูรณ์อย่างล้นเหลือ ซึ่งเกี่ยวข้องแน่นอนกับหัวข้อ “ทรัพยากรที่จะทำให้ท่านมีเงินล้าน มีอยู่มากมายมหาศาล” อย่าลืมติดตามนะครับ
อ.นเรศ สีละมัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น